“การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21”
เชื่อได้ว่าหลายๆคนคงอาจจะเคยได้ยินประโยคนี้กันมาบ้างแล้ว เพราะตอนนี้ใครๆก็ต่างพากันพูดถึงและให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก
ทั้งผู้ใหญ่ในแวดวงการศึกษา ครู อาจารย์ หรือแม้กระทั่งนักเรียน นิสิต
นักศึกษาอย่างเราเองก็ตาม ส่วนใครที่เพิ่งเคยได้ยินคงอาจจะมีคำถามหรือข้อสงสัยว่า “การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21”
นั้นเป็นอย่างไรและเกี่ยวข้องอะไรกับเทคโนโลยี วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะ
ศ. นพ. วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวเอาไว้ว่า “การเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 นั้นก็คือการเรียนรู้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง การศึกษาจะต้องเน้นที่การเรียนภาคปฏิบัติ
การให้นักเรียนได้ลงมือทำจริงได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ครูต้องไม่เน้นสอน เน้นออกแบบการเรียนรู้
เน้นสร้างแรงบันดาลใจ เป็นครูฝึกไม่ใช่ครูสอน แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเอง
” ซึ่งการจัดการเรียนการสอนในลักษณะนี้นั้นก็ได้สอดคล้องกับลักษณะของเด็กสมัยใหม่คือมีอิสระที่จะเลือกสิ่งที่ตนพอใจ
แสดงความเห็นและลักษณะเฉพาะของตน ความสนุกสนานและการเล่นเป็นส่วนหนึ่งของงาน
การเรียนรู้และชีวิตทางสังคมการร่วมมือ ต้องการความเร็วในการสื่อสาร การหาข้อมูล และตอบคำถาม สร้างนวัตกรรมต่อทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต
นอกจากนั้น ยังมีผู้ให้ความเห็นไว้ว่าเด็กยุคใหม่เป็นคนยุคเจนเนอเรชันแซด(Generation Z) เป็นพวกที่ชอบใช้อินเทอร์เนต หรือที่เรียกกันว่าเป็นชาวเน็ต(netizen)
และนี่คือประเด็นสำคัญที่ว่าเหตุใดเทคโนโลยีถึงมีความสำคัญและความจำเป็นต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21เพราะความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้การศึกษาในอุดมคติเป็นจริงได้
เพราะสามารถแสดงอักษรภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงการสร้างสถานการณ์เสมือนจริง
(Virtual Situation) ได้เหมือนๆกับที่หนังสือ หนังสือภาพ เทปเสียง วีดีทัศน์
หรือสื่ออื่นๆ ที่มีทั้งหมด รวมทั้งเพิ่มการปฏิสัมพันธ์ (Interaction)กับผู้ใช้ได้ และสร้างเครือข่ายให้สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างไร้ขอบเขต ในแง่ของสถานที่ที่แตกต่างคนละแห่งกัน
ซึ่งสื่อการสอนของครูก็จะต้องมีคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นและสื่อที่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็คือ
“สื่อมัลติมีเดีย” ซึ่งเป็นระบบสื่อสารข้อมูลข่าวสารหลายชนิด โดยผ่านสื่อทางคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ฐานข้อมูล ตัวเลข กราฟิก
ภาพ เสียง และวีดิทัศน์ ใช้คอมพิวเตอร์สื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟ ภาพศิลป์ (Graphic Art) เสียง (Sound)
ภาพเคลื่อนไหว (Animation) และวีดิทัศน์ เป็นต้น ถ้าผู้ใช้สามารถควบคุมสื่อเหล่านี้ให้แสดงออกมาตามต้องการได้ระบบนี้จะเรียกว่า มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) จะเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่รับการตอบสนองจากผู้ใช้โดยใช้คีย์บอร์ด
(Keyboard) เมาส์ (Mouse) หรือตัวชี้
(Pointer) เป็นต้น การใช้มัลติมีเดียในลักษณะปฏิสัมพันธ์ก็เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้หรือทำกิจกรรม
รวมถึงดูสื่อต่าง ๆ ด้วยตนเอง สื่อต่าง ๆ
ที่นำมารวมไว้ในมัลติมีเดีย เช่น ภาพ เสียง วีดิทัศน์ จะช่วยให้เกิดความหลากหลาย ความน่าสนใจ
และเร้าความสนใจ เพิ่มความสนุกสนานในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น
และเนื่องจากในปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวไกลไปมากมีการนำสื่อมัลติมีเดียมาพัฒนาให้มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานมากขึ้นจึงทำให้ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมามีคำว่า Interactive ปรากฏตามสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ตในฐานะของสื่ออีกรูปแบบหนึ่งที่โต้ตอบกับมนุษย์ได้ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมทั้งในประเทศเองและต่างประเทศ
และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Interactive ก็ยิ่งมีความนิยมมากขึ้นอีกเพราะความสามารถในการโต้ตอบที่สูงขึ้น ปัจจุบัน
Interactive เข้ามามีบทบาทใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้นเรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็เห็น
จับอะไรก็เจอ ยกตัวอย่างใกล้ตัวที่สุดก็คือโทรศัพท์มือถือที่เป็นจอ Touch
Screen ไม่ว่าจะเป็น iPhone5,The new iPad,Android
tablet ยี่ห้อต่างๆ หรือเวลาเราเข้าเดินไป 7-eleven ประตูก็เปิดให้เอง ก็คืออินเตอร์แอคทีฟหลักการง่ายๆก็คือมี Sensor จับความเคลื่อนไหวอยู่ที่หน้าประตู ถ้ามีคนหรือหมาเดินมา Sensor ก็จะสั่งให้ motor และลำโพงทำงาน นอกจากการพบเจอ Interactive ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังรวมทั้งสื่อการสอนเรียนการสอนที่เรียกว่า CAI
(Computer Assisted Instruction) หลายคนๆคงคุ้นเคยกันไม่มากก็น้อย
,Interactive Board ที่ใช้ในการเรียนการสอน,การจัดนิทรรศ
หรือกิจกรรมตามงาน Event ต่าง ๆ Interactive
Media สื่อภายในพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ ,การเปิดตัวสินค้าที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้มีความทันสมัยโดยใช้ Interactive
marketing แบบต่างๆ เข้ามาช่วยในการทำการตลาด เช่น Interactive
Floor/Wall , Multi-touch Board / Table ก็ล้วนแต่เป็นสื่อ Interactive
ทั้งนั้นทำให้สื่อมัลติมีเดียเป็นสื่อที่สามารถตอบสนองต่อลักษณะและความต้องการของเด็กในยุคสมัยใหม่ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดีทีเดียว ข้อดีของสื่อมัลติมีเดียก็คือ ช่วยให้การออกแบบบทเรียน ตอบสนองต่อแนวคิดและทฤษฎีการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งผลโดยตรงต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และสื่อมัลติมีเดียที่ใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนเป็นสื่อที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพ ความต้องการ และความสะดวกของตนเอง นอกจากนี้ยังช่วยสนับสนุนให้มีสถานที่เรียนไม่จำกัดอยู่เพียงห้องเรียน เท่านั้น ผู้เรียนอาจเรียนรู้ที่บ้าน ที่ห้องสมุด หรือภายใต้สภาพแวดล้อมอื่นๆ ตามเวลาที่ตนเองต้องการ และสนับสนุนให้เราสามารถใช้สื่อมัลติมีเดียกับผู้เรียนได้ ทุกระดับอายุ และความรู้
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมดสื่อมัลติมีเดียก็มีข้อจำกัดในการใช้งานเช่นกันนั่นคือ การออกแบบสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาที่มีคุณภาพเหมาะสมตามหลักทางจิตวิทยา และการเรียนรู้นับว่ายังมีน้อย เมื่อเทียบกับการออกแบบโปรแกรมเพื่อใช้ในวงการด้านอื่น ๆ ทำให้สื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษามีจำนวน และขอบเขตจำกัดที่จะนำมาใช้ในการเรียนวิชาต่าง ๆ และในขณะนี้ยังขาดอุปกรณ์ที่ได้คุณภาพมาตรฐานระดับเดียวกัน เพื่อให้สามารถใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างระบบกัน และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสื่อมัลติมีเดียมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทำให้ผู้ผลิตสื่อมัลติมีเดียต้องหาความรู้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเสมอ
เราสามารถใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษาได้ในลักษณะต่างๆเช่น
การปรับเข้าหาผู้เรียน
ถึงแม้ว่าการใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะสื่อประสมมัลติมีเดียจะเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ในการศึกษามากมายเพียงใดก็ตาม
แต่เป็นสิ่งที่แน่นอนว่าคอมพิวเตอร์จะไม่มีวันแทนห้องเรียนได้
ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนในห้องเรียนนั้นเป็นการเรียนทู้เรียนจะต้องมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับบุคคลอื่นๆอีกมากมายซึ่งการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ไม่มีวันจะทำเช่นนั้นได้
อย่างไรก็ตาม
การใช้คอมพิวเตอร์ในการศึกษาจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการเรียนในห้องเรียนปกติได้เป็นอย่างมาก
และเกมส์เพื่อการศึกษา การใช้เกมส์ในลักษณะของมัลติมีเดียจะเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือไปจากความสนุกสนานจากการเล่นเกมส์ตามปกติ
เกมส์ต่างๆจะมีการสอดแทรกความรู้ด้านต่างๆ เช่น คำศัพท์ ความหมายของวัตถุ
แผนที่ทางภูมิศาสตร์ การฝึกทักษะด้านความเร็วในการคิดคำนวณ เป็นต้นและนอกจากนี้การสอนและการทบทวนก็สามารถทำได้ตามความต้องการและตามความสนใจของนักเรียนอีกด้วย
และในอนาคตข้างนี้สื่อมัลติมีเดียก็คงจะถูกพัฒนาให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากกว่าปัจจุบันเพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนรู้และการศึกษาที่ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นหลังจากที่เราได้รู้กันแล้วว่าการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างไรและเทคโนโลยีนั้นจะเข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอนได้อย่างไร เราก็ควรจะต้องเตรียมตัวตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นโดยการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอเพื่อเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่างๆให้กับตนเองเพื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในศตวรรษที่ 21 แต่นอกจากเนื้อหาสาระและความรู้ที่ได้จากการเรียนแล้วเด็กในยุคสมัยนี้ยังจะต้องเป็นเด็กที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสำนึกสาธารณะเห็นแก่ส่วนรวมมาก่อนเรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ผู้ใหญ่เองก็จะต้องมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเพื่อเพิ่มศักยภาพของเด็กโดยการส่งเสริม ผลักดันและสนับสนุนให้มีการพัฒนาอย่างเต็มที่เช่นกัน ทั้งผู้ใหญ่ในกระทรวง นักวิชาการ ครู อาจารย์ รวมไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่เป็นผู้ออกแบบและสร้างเด็กในยุคศตวรรษที่ 21 ด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dpu.ac.th/rapd/page.php?id=5216

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น