20.9.56

น่านฟ้าไทย...จะมิให้ใครย้ำยี

กำ



" น่านฟ้าไทย...จะมิให้ใครย่ำยี "

แสดงให้เห็นถึงปณิธานของกองทัพอากาศที่มีความมุ่งมัน

พร้อมที่จะปกป้องและพิทักษ์ ประเทศไทยเสมอ


                            สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านวันนี้หลายท่านอาจจะสงสัยว่าผู้เขียนจะมานำเสนอในประเด็นอะ จะพาไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า ใช่แล้วละวันนี้ผู้เขียนจะพาทัวร์พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติด้านการบินนั่นเอง พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศแ่ห่งนี้ตั้งอยู่ เลขที่ 171 ถนนพหลโยธิน แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง หรือสังเกตุง่ายๆก็คือจะอยู่ติดกับกองกัญชาการกองทัพอากาศนั่งเองค่ะ 




                            การเข้าชม นั้นทางพิพิธภัณฑ์เปิดให้บริการทุกวัน เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 08.00 - 16.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชม ส่วนการเข้าชมเป็นหมู่คณะ โทรติดต่อล่วงหน้าที่ เบอร์ 0-2535-1853 ,0-2534-1764 โทรสาร 0-2534-1579

                            สามารถเดินทางโดยรถประจำทาง

                            รถธรรมดา หมายเลข 34 , 39 ,114, 356

                            รถปรับอากาศ หมายเลข 3, 21, 22, 24, 25, 34, 39, 114, 356

                            พิพิธภัณฑืกองทัพอากาศแบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 อาคารด้วยกันและจะมีส่วนที่จัดแสดงภายนอกอาคารด้วย






                            อาคาร 1 แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกจะเป็นอาคารที่จัดแสดงนิทรรศ "100 ปี การบินของบุพการีทหารอากาศ" นั่นคือประวัติของการก่อตั้งกองทัพอากาศไทย จัดแสดงเครื่องบินในยุคแรกๆ เครื่องบินที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้น และในส่วนที่สองเป็นการจัดแสดงเครื่องบินสมัยใหม่ เป็นต้น







                            อาคาร 2 จะมี 2 ชั้น ด้านบนจะจัดแสดงเกี่ยวกับอุปกรณ์และเครื่องใช้ต่างๆที่ใช้ในการบิน ด้านชั้นจะจัดแสดงเครื่องบินที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในปฏิบัติการต่างๆ เช่น การฝึกบิน พยาบาล ร่วมรบในสงคราม และจุดเด่นของอาคารนี้ก็คือเครื่องทิ้งระเบิดที่มีชื่อว่า "บริพัตร"ซึ่งเป็นเครื่องบินที่คนไทยออกแบบและสร้างเอง 






                            อาคาร 4 เป็นอาคารที่จัดแสดงเกี่ยวกับเครื่องแบบ ชั้นยศ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ต่างๆ ของทหารอากาศ และจัดแสดงขั้นตอนของการฝึกนักบินด้วยห้องปรับบรรยากาศความดันต่ำ และเครื่องบินจำลองเป็นต้น




                            
                            อาคาร 5 เป็นอาคารที่จัดแสดงเฮลิคอปเตอร์แบบต่างๆ และขับไล่ใบพัดรุ่นสุดท้าย และจุดเด่นของอาคารนี้ก็คือ เฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 ซึ่งเป็นเฮลิคอปเคอร์พระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว





                            การจัดแสดงภายนอกอาคาร เป็นการจัดแสดงเครื่องบินลำเลีง เครื่องบินโจมตี เครื่องบินที่กองทัพอากาศออกแบบและสร้างขึ้นเอง เครื่องบินตรวจการณ์ เครื่องบินทิ้งระเบิด เป็นต้น


* ผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่าอาคาร 3 หายไปไหนนะคะ อาคาร 3 เป็นอาคารที่กำลังซ่อมบำรุง จึงยังไม่เปิดให้เข้าชมนั่นเอง

                            หลังจากที่ได้พาทัวร์รอบๆ พิพิธภัณฑ์กันไปแล้วนะคะ ผู้เขียนอยากจะบอกผู้อ่านทุกท่านว่าผู้เขียนไม่เคยเห็นเครื่องของจริงเลยค่ะ ทำให้รู้สึกตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ เป็นอย่างมาก ^^ นอกจากจะได้เห็นเครื่องบินแล้วก็ยังได้ศึกษาประวัติ ความเป็นมา และพัฒนาการของกองทัพอากาศไทยด้วยค่ะ จริงๆ ผู้เขียนก็ชอบอะไรที่เกี่ยวกับประวัติของประเทศไทย อยากจะรู้ความเป็นมาเป็นไปของทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับประเทศไทยเลยด้วยซ้ำแต่ก็ำไม่ค่อยได้เดินทางออกไปสัมผัสและเรียนรู้ที่ไหนมากนัก และพอมีโอกาสมาที่นี่จึงประทับใจมาก และความพิเศษของพิพิธภัณฑ์นี้ก็คือสามารถจับต้องของที่โชว์อยู่ได้ นั่นหมายความว่าสามารถขึ้นไปบนเครื้องบินได้นั่นเองผู้เขียนกับเพื่อนๆที่เดินทางไปด้วยกันเลยมีโอกาสขึ้นไปถ่ายรูปบนเครื่องบินด้วยกันค่ะ ถ้าผู้อ่านท่านในมีโอกาสก็อย่าลืมมาเยี่ยมชมที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศกันให้ไทยนะคะ ^________________^






19.9.56

มีดีก็อยาก...โชว์


TECHNO SHOWCASE ก้าวล้ำนำการศึกษา






                          " เทคโนโลยี " กับ "การศึกษา" หลายๆท่านอาจสงสัยว่าเกี่ยวข้องอะไรกัน และงานนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร วันผู้เขียนจะมาช่วยไขข้อข้องใจให้นะคะ

                          หากจะกล่าวถึงคำว่า  " เทคโนโลยี " หลายคนก็คงคิดถึงสิ่งต่างๆที่สามารถอำนวยความสะดวกช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น หรือไม่ก็สิ่งของที่มีความทันสมัย ล้ำหน้า ซึ่งจริงๆ ชื่อของงานนี้ก็ไม่หมายถึงความทันสมัยเพียงอย่างเดียว ความหมายอีกนัยหนึ่งของเทคโนก็คือชื่อสาขาวิชาที่ผู้จัดงานได้เรียนอยู่ด้วยนั่นเอง ชื่อเต็มๆของเอก/สาขานี้คือ เอกเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา เป็นสาขาหนึ่งของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชื่ออาจจะไม่คุ้นใช่หรือป่าวคะ นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดงานนี้ขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพื่อเผยแพร่ให้กับนักเรียนนิสิตหรือบุคคลทั่วไปได้รู้จักกับ "เอกเทคโนโลยีสื่อสารการศึกษา" มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญจะได้รู้ว่าเอกนี้เรียนอะไร ที่ความสามารถอะไร จบไปสามารถประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้ก็ได้รวบรวมผลงานของทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่จัดแสดงเอาไว้อีกด้วย

ภายในงานมีบูทที่จัดแสดงอยู่ทั้งหมด 8 บูทดังนี้

                       




























                     
                         และสำหรับในการจัดงานครั้งนี้ผู้เขียนได้รับหน้าที่ให้ประจำอยู่ที่บูท Read me please ซึ่งเป็นบูทเกี่ยวกับการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นพับ โปสเตอร์ นิตยสาร เป็นต้น ภายในบูทมีกิจกรรมเช่น การตอบปัญหาชิงรางวัล และ เวิร์ีคชอปการออกแบบปกนิตยสาร สิ่งที่ดูจะเป็นที่สนใจของผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมก็คงไม่้พ้น นิตยสารที่เป็นผลงานของนิสิตในภาควิชานั่นเองค่ะ ในการทำงานในครั้งนี้ก็ได้รับประสงการณ์ต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมงาน การวางแผนงาน การจัดกิจกรรมต่างๆ หลังจากที่งานได้จัดเสร็จสิ้นลงไปเรียบร้อย และงานก็ประสบผลสำเร็จเกินความคาดหมายอย่างมากจากยอดผู้เข้าชมหลายร้อยคน ถึงแม้กว่าจะเตรียมงานเสร็จเพื่อนๆ ทุกต่างก็เหมือนแต่พอผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ความเหนื่อยล้าต่างๆ คลายลงได้




                         ซึ่งในแต่ละบูทจะเป็นการนำเสนอว่าเทคโนโลยีต่างๆ นั้นเข้ามามีส่วนในการศึกษาอย่างไรบ้าง ซึ่งผู้เขียนจะขอสรุปให้เลยว่า การศึกษานั้นอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนของทั้งครูและนักเรียน ในด้านของครูก็จะสามารถสร้างสรรค์สื่อการสอนที่ดีมาจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในด้านของนักเรียนก็สามารถใช้เทคโนโลยีในการค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อมาเติมเต็มความรู้ในเรื่องๆ ที่อยากเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะสามารถค้นหาได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา และยังสามารถกลับมาทบทวนกี่ครั้งก็ได้ ถ้าเราหากเราใช้ดทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ก็จะทำให้เรามีความรู้ มีทักษะ มีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากเราใช้ไปในทางที่ผิดก็จะเกิดผลกระทบและปัญหาตามมาได้ค่ะ



คลิกเดียว...ก็เที่ยวได้

                 




                       โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาลทำให้เราไม่สามารถออกไปผจญภัยได้ทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถรับรู้หรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ได้ เพราะปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แค่มีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็สามารถเปิดโลกการเรียนรู้ให้กว้างใหญ่ได้เท่ากับหนังสือเล่มหนึ่งหรืออาจจะมากว่าได้ สำหรับว่าวันผู้เสนอจะมานำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับนิทรรศการออนไลน์ ซึ่งเป็นที่ทำให้เราสามารถชมนิทรรศการได้ทุกซอกทุกมุมโดยที่เราไม่ต้องเดินทางไปไกลถึง หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ คลอง 5 ที่ปทุมธานีเลย โดยที่ http://www.kingrama9.net/ ได้นำข้อมูลมาจัดแสดงไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่เพียงแต่ข้อมูลของนิทรรศการเท่านั้นภายในเว็บไซต์นี้ยังจัดแสดงสื่อต่างๆเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้่าอยู่หัว ฉลอง 84 พระชนมพรรษา และเพื่อเผยแพร่พระอัจริยภาพในด้านต่างๆ ที่พระองค์ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะทรงงานเพื่อประชาชนชาวไทย โดยในเว็บไซต์มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้






                       ในส่วนนี้จะเป็นการจัดแสดงนิทรรศการออนไลน์ ที่มีรูปแบบเป็นการจัดแสดงแบบ 3 มิติ  คือการจำลองนิทรรศการของจริงมาเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าได้เดินชมอยู่ในนิทรรศการหรือพิพิธภัณฑ์ดังกล่าวเลย ซึ่งแตกต่างจากหลายๆเว็บไซต์ที่อาจจะนำเสนอเพียงแต่รูปเพียงเท่านั้นอาจจะไม่มีความน่าสนใจมากนั้น เพราะยุคสมัยในปัจจุบันนี้คนมักจะชอบสื่อที่มีความแปลกใหม่และทันสมัย และนี่คือตัวอย่างของการจำลองการเข้าชมนิทรรศการ


                       ต้องบอกว่าได้มีการจำลองมาได้อย่างเหมือนของจริงที่จัดแสดงอยู่ที่ง หอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ ทุกประการและที่สามารถพูดได้ขนาดนี้เพราะเมื่อ 2553 ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมมาแล้วนั่นเอง ภายในนั้นจัดแสดงเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจด้านๆของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่ทรงคุณค่าเป็นอย่างมาก


                       นอกจากในเว็บไซต์จะมีนิทรรศการออนไลน์ให้ได้ชมกันแล้วยังมีสื่อมัลติมีเดียหลากหลายเรื่องที่ให้ความรู้เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย

                     
                       จะเห็นได้ว่่าบางครั้งการที่เรียนรู้ก็อาจจะไม่จำเป็นที่จะไปสัมผัสกับของจริง สถานที่จริงเสมอไป เพียงแค่เราใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ก็สามารถค้นคว้าหาความรู้ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะต้องการรู้เรื่องใดๆก็ตามขอแค่ให้มีความสนใจ ใฝ่เรียนรู้ และความตั้งใจที่จะศึกษาก็สามารถทำให้เราเป็นผู้ที่มีความรู็้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ได้


ขอบคุณข้อมูลจาก :  http://www.kingrama9.net/
ขอบคุณรูปภาพ  : คัทรียา   คำโฮง

12.3.56

"The last ONE"

 
 
 
 
 
                       สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านทุกท่านหลังจากที่ห่างหายไปนาน และที่หายไปนี่ไม่ได้ไปไหนเลยแต่หายไปทำนิตยสารมานั่นเองค่ะ ซึ่งกว่าจะได้เป็นนิตยสารออกมาเป็นเล่ม ๆ นี้ต้องผ่านมาหลายขั้นตอนมา และนิตยสารที่กลุ่มของผู้เขียนได้เลือกทำก็คือ นิตยสารเกี่ยวกับการศึกษา เพราะในท้องตลาดยังไม่ค่อยมีนิตยสารแนวนี้มากนักและเมื่อลองเสนอหัวข้อกับสมาชิกในกลุ่มทุกคนก็เห็นด้วย และนิตยสารที่มีอยู่ตามแผงหนังสือก็มีซ้ำๆ กันไปหมดไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ซุปซิปดารา อาหารการกิน การดูแลสุขภาพ เป็นต้น และรูปแบบของเนื้อหาและการออกแบบรูปเล่มก็ยังไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ จึงคิดที่จะลองดูสักตั้งกับนิตยสารแนวนี้ 
                        เมื่อได้โจทย์มาแล้วใครๆก็ต่างกันบอกว่าเป็นโจทย์ที่ยากพากันส่ายหัวไปมา บ้างก็บอกว่าจะทำได้หรอ มันจะอ่านยากหรือเปล่า  มีแต่สาระเกินไปใครจะอ่าน ก็ว่ากันไปต่างๆนาๆ แต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะเมื่อตั้งใจจะทำแล้วก็ต้องทำให้ได้จะยากจะง่ายก็ต้องลองลงมือทำ และก็เคยคิดมาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วว่าทำไมไม่ใครทำนิตยสารเกี่ยวกับการศึกษาที่มันอ่านง่ายๆ รูปแบบดูน่าสนใจ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตในมหาวิทยาลัย กิจกรรมการเรียน และไม่ดูเป็นวิชาการเกินไปออกมาบ้าง ซึ่งตอนนั้นได้แต่คิด...แล้วก็สงสัยเก็บไว้ในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านมาอีกสามปีก็มีโอกาสได้ทำก็เลยทำให้นึกถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในในมานานว่าเราน่าจะลองดูนะ
                       และการจะผลิตนิตยสารออกมาสักเล่มนึงมันก็ไม่ใช่งานง่ายๆ เลยเช่นกันกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ก็ผ่านอะไรๆ มามากมายแต่ก็ไม่ได้มีปัญหาหรืออุปสรรค์อะไรมา เพราะกลุ่มของเราจะมีการพูดคุยงานกันอยู่เสมอๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกหัวข้อ มาจนถึงการนำหัวข้อนิตยสารมาคิดเนื้อหา วางคอลัมน์หลัก คอลัมน์รอง เมื่อมีการวางแผนอย่างคร่าวๆแล้วก็จะต้องมาหาข้อมูลดูว่าแต่ละคอลัมน์ที่มีนั้นเราสามารถที่จะทำได้ทุกหัวข้อหรือเปล่า เมื่อคัดสรรเรียบร้อยแล้วก็จะมีการเริ่มวางแผนอย่างจริงจังแล้วว่าควรจะเริ่มจากอะไรก่อน ซึ่งก็ตกลงกันว่าจะทำการเก็บข้อมูลในคอมลัมน์สัมภาษณ์ให้หมดก่อนและเมื่อสรุปได้แล้วว่าแต่ละคอลัมน์จะสัมภาษณ์ใครบ้างก็จะต้องติดต่อบุคคลนั้นๆไปก่อนเมื่อสามารถตกลงวันเวลาได้แล้วสมาชิกทุกคนก็จะมาช่วยกันทำส่วนใหญ่จะได้ช่วยกันในเรื่องของการออกกองถ่ายแฟชั่น ถือแฟลชบ้าง ถือรีแฟลกบ้าง ในบางวันอาจจะอากาศร้อนแต่ทุกคนก็ตั้งใจกันอย่างเต็มที่ เมื่อทำการเก็บข้อมูลที่จะต้องสัมภาษณ์หมดแล้วแต่ละคนก็จะต้องทำคอลัมน์ที่ได้รับมอบหมายและได้ตกลงรับผิดชอบกันไว้แล้วให้เสร็จ หลังจากนั้น บก ก็จะเริ่มทำการจัดหน้าวางเลย์เอาท์ต่างๆ ภายในรูปเล่มและทุกๆคนก็จะต้องช่วยกันตรวจสอบข้อมูลและดูความผิดพลาดต่างๆ ซึ่งจากที่เขียนมาผู้อ่านบางท่านอาจจะคิดว่ามันก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนะ แต่อยากจะบอกว่าแต่ละขั้นตอนมันมีรายละเอียดต่างๆ นาๆ มากมายที่จะต้องทำและถ้าเราเจอปัญหาหนึ่งปัญหาเราก็จะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันแชร์ ช่วยกันถกปัญหาต่างๆ ซึ่งไม่ใช่จะแก้ไขได้ภายในชั่วโมงหรือสองชัวโมง และกว่างานชิ้นนี้จะเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีก็เรียกได้ว่าเจอหน้ากันจนเบื่อกันไปข้างนึงเลยทีเดียว 55555 ซึ่งในการทำงานครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าได้เรียนรู้การทำงานกันเป็นทีม การทำงานจะต้องมีประสานงานที่ดี ทุกคนจะต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง แต่เมื่อเพื่อนต้องการความคิดเห็นทุกคนก็จะต้องช่วยกันแชร์ไอเดียออกมาและจะต้องกล้ายอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองเมื่อเพื่อนได้ให้คำแนะนำต่างๆ ด้วยงานจึงจะออกมาดีนั่นเอง
                        สุดท้ายนี้ก็ขอฝากเอาไว้ว่า " หากเราเดินตามรอยเท้าคนอื่น เราก็จะไม่มีวันมีรอยเท้าเป็นของตัวเอง " นั่นคือถ้าเรามัวแต่ทำและคิดตามสิ่งที่คนอื่นได้สร้างรูปแบบเอาไว้แล้วมันก็จะไม่เกิดความสร้างสรรค์สิ่งๆใหม่ๆ ขึ้นมา ดังนั้นลองเปิดหู เปิดตา เปิดใจ ลองคิด ลองทำอะไรที่มันแตกต่าง เคยเดินผ่านแต่ถนนเส้นเดิมก็ลองมองหาถนนเส้นใหม่เดินดูบ้าง เคยเดินไปมองแต่จุดหมายข้างหน้าลองหันมองข้างทางบ้างก็ดี เพราะบางก็อาจจะความคิดหรือไอเดียอะไรใหม่ก็ได้นะคะ  ^^
 
 
 
 
 

31.1.56

It's in your hand

               สวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะคะ หลังจากที่ห่างหายไปได้พักใหญ่ๆวันนี้ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับโปสเตอร์แผ่นนึง หลายท่านอาจจะสงสัยว่าครั้งนี้จะเกี่ยวอะไรกับโปสเตอร์อีก เอาละค่ะเพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา วันนี้ผู้เขียนก็จะพาไปทำความรู้จักกับโปสเตอร์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จากการประกวดโปสเตอร์ในวันสิ่งแวดล้อมโลกกันนะคะ


 
 
               และนี่ก็คือโฉมหน้าของโปสเตอร์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวด Organics BPS World Environment Day Poster Design Contest ซึ่งจัดโดยองค์กร Organics BPS ในประเทศอินเดีย เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลกนั่นเอง
 

 
 
               อาจมีหลากหลายความเห็นเกี่ยวกับความสวยงามของโปสเตอร์แผ่นนี้ เพราะมนุษย์เรานั้นรับรู้ความสวยงาม ความพอใจ ในสิ่งต่างๆได้ไม่เหมือนกันอาจจะเกิดได้หลายสาเหตุทั้ง รสนิยม ความชอบ สังคม ศาสนา และสิ่งแวดล้อม ซึงศิลปะนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวอะไรที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าหากได้ลองศึกษาก็จะพบว่ามันมีกฎเกณฑ์อยู่ในตัวเอง นั่นก็คือองค์ประกอบศิลป์ที่เป็นพื้นฐานของการสรรค์สร้างงานศิลปะอันสวยงาม
 
 
 
              
               แต่บางคนอาจจะมี คำถาม ????????? เกิดขึ้นมากมายอยู่ในหัว ว่าทำไมโปสเตอร์ธรรมดาๆอย่างนี้ถึงได้รางวัลใหญ่ไปครองได้กันนะ ผู้เขียนจะนำท่านไปหาคำตอบด้วยกัน
               หากจะมองผ่านๆ ตาโปสเตอร์นี้ก็อาจจะดูธรรมดามาก แต่หากผลงานชิ้นนี้กลับสะดุดตาผู้เขียนเข้าสะอย่างนั้น เพราะเมื่อมองพิจารณาให้ดีแล้วมันกลับแฝงความพิเศษบางอย่างเอาไว้ด้วยซึ่งอาจจะลูกเล่นของผู้ออกแบบได้ใส่เอาไว้นั่นเอง ให้ท่านผู้อ่านลองสังเกตุดูที่ตัวโปสเตอร์จะพบว่ามันสามารถที่จะสื่อความหมายได้ทั้งสองด้าน เมื่อลองเอา ด้านที่มีสีเขียวไว้ด้านล่างเราจะพบกับคำว่า ONE change พร้อมกับรูปภาพประกอบที่เป็นสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งต้นไม้ ดวงอาทิตย์ ดอกไม้ และสายลม เป็นต้น พร้อมกับพื้นที่สีเขียวที่ให้ความรู้ สงบเงียบ ร่มรื่น ร่มเย็น การพักผ่อน ธรรมชาติ ความปลอดภัย ปกติ ความสุข และความสุขุมเยือกเย็น ซึ่งสามารถสื่อให้ผู้คนที่พบเห็นโปสเตอร์นี้ได้รู้ว่าหากร่วมด้วยช่วยกันเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือนิสัยบางอย่างที่ที่หมายถึง ทำลายสิ่งแวดล้อมก็จะทำให้เรายังคงมีป่าไม่ อากาศบริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษนั่นเอง และหากนำเอาด้านที่มีสีเทาไว้ด้านล่างบ้างก็จะพบกับคำว่า NO future และรูปภาพของยานพานะต่างๆ เช่น รถ และ เครื่องบิน ที่สร้างมลภาวะเป็นพิษต่างๆ ให้กับสิ่งแวดล้อม ที่จัดให้อยู่ในพื้นที่สีเทา ที่ให้ความรู้สึกเศร้า อาลัย ท้อแท้ ความลึกลับ ความหดหู่ ความชรา ความเงียบ เป็นต้น ซึ่งเป็นการสื่อความหมายได้ว่าหากเรายังดำเนินชีวิตตามปกติ ไม่หันมาช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ในอนาคตเราก็อาจจะต้องใช้ีวิตอยู่ท่ามกลางมลภาวะเป็นพิษที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย อาจจะได้ทำให้เจ็บป่วยและอาจถึงเสียชีวิตและนั่นก็หมายถึงเราก็จะไม่มีอนาคตนั่นเอง และนี่ก็เป็นเหตุผลซึ่งเมื่อเทียบกับโปสเตอร์ที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอับดับ 2 ที่ได้คะแนนต่างกันเพียงจุดทศนิยมที่เป็นโปสเตอร์ที่ใช้รูปภาพซึ่งเราอาจจะเห็นกันจนชินตาแล้ว และสามารถสื่อความหมายได้ตรงตัวไม่ต้องตีความอะไรมากมายซึ่งมันทำให้ขาดเสน่ห์บางอย่างไปก็เลยทำให้โปสเตอร์นี้ชนะไปได้อย่างเฉียดฉิว
 

               จากเหตุผลข้างต้นที่ได้บอกไปผู้เขียนหวังว่าจะทำให้หลายคนหายข้องใจกับไปบ้างนะคะ ซึ่งผู้เขียนก็ได้ไอเดียมาบางอย่าง นั่นคือการจะออกแบบสื่ออะไรก็ต่างไม่จำเป็นจะต้องสื่อออกไปตรงๆ ให้ผู้คนที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น รับรู้ข้อความที่เราอยากจะสื่อสารออกไปให้รู้ถึงจุดประสงค์ไปเลย โดยใช้ทั้งความข้อ รูปภาพ รูปทรงมากมาย แต่ถ้าหากลองให้ผู้รับสารนั้นตีความเอาเองโดยที่เราไม่ต้องบอก ต้องพูด ต้องเขียนอะไรมาก มีแต่ความเรียบง่าย ผู้เขียนคิดว่านี่มันคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของศิลปะการออกแบบที่จะช่วยให้ชิ้นงานของเรามีความน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง
 
 
 
 
 
 
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.behance.net/gallery/Award-Winning-Poster-design/4722449




Yiruma - River Flows In You